top of page
ค้นหา

'ลึกสุดห้วง' - โดย เพจผู้จัดการ online

อัปเดตเมื่อ 28 ก.ค. 2566

ชมกันสนั่นจอ..."นิพันธ์ จ้าวเจริญพร" หนุ่มวัย 26 เจ้าของหนังไซไฟสุดล้า The Deepest


กลายเป็นกระแสที่แชร์ส่งต่ออย่างกว้างขว้างถึงผลงานการทําหนังสั้นแนว Sci-fi ที่ชื่อว่า “The Deepest” (ลึก สุดห้วง) ที่ถูกสร้างขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ โดย “Nipan Studio” เพราะทันทีที่ออกสู่สายตาประชาชน เรียกได้ ว่าทุกคนต่างตะลึงและทึ่งชื่นชมในความสมจริงของสเปเชียลเอฟเฟคต์อันอลังการละลานตา...

ใครสักคนที่เป็นหนึ่งในทีมงานหนังหุ่นยนต์ที่เพิ่งเข้าฉายในบ้านเราอย่างเรื่อง “แชปปี้” (Chappie) พูดเอาไว้ได้น่าสนใจ มากว่า โลกยุคใหม่ที่เราเหยียบยืนอยู่หรือความล้ําสมัยที่เราใช้สอย ส่วนใหญ่มาจากเด็กหนุ่มที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาจาก โรงรถ...ถ้าเช่นนั้นแล้ว ถึงแม้เราจะไม่กล้ากล่าวว่า นี่คือพัฒนาการอีกหนึ่งขั้นของวงการซีจีบ้านเราที่เกิดมาจากเด็กหนุ่ม นิรนามคนหนึ่ง แต่ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธว่า นี่ไม่ใช่ความน่าตื่นตาตื่นใจ นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่า มันคือความสามารถที่อยู่บน ฐานค่าใช้จ่ายเพียงหนึ่งพันบาท

“นิพันธ์ จ้าวเจริญพร" คือเด็กหนุ่มคนนั้นที่เรากําลังกล่าวถึง เขาคือเจ้าของผลงาน “The Deepest” และคลุกคลีตีโมง อยู่กับแวดวงการงานด้าน Video Production and Post production และอย่างไม่รอช้า เราขอเวลาสนทนากับเขา...เด็ก หนุ่มเมืองเชียงใหม่ เจ้าของผลงานไซไฟที่หลายคนส่งเสียงชมว่า “สุดล้ำ”...


• แนะนําหน่อยว่าเราเป็นใครมาจากไหน

คือต้องย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของผมก่อน ผมไม่ได้เรียน แต่ฝึกเอง คือผมรักในการทํางานพวกตัดต่อ พวกวิชวล เอฟเฟคต์เล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียน แล้วช่วงมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่ไปเรียนทางสาย ศิลป์ ไฟน์อาร์ต ก็ไม่ได้เน้นพวกนี้ เน้นศิลปะทั่วไป ทีนี้พอจบไฮสคูลก็กลับมาประเทศไทยแล้วก็ได้มาเริ่มหางาน ซึ่งเป็นงานในส่วนของการตัดต่อวิดีโอทั่วไป ก็ยังไม่ได้ลงลึกในส่วนของวิชวลเอฟเฟคต์เท่าไหร่ จากนั้นก็ฝึกฝน ทําผลงาน สร้างหนังสั้น กํากับเองบ้าง แสดงเองบ้าง แล้วก็มีคนโน่นคนนี้เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันทํา ที่มาก็เลยจุด ประกายจากการสร้างหนังสั้น พอได้ทําเรื่อยๆ มีผลงานเรื่อยๆ ก็เริ่มให้ความสนใจในเรื่องของวิชวลเอฟเฟคต์ เพราะมัน เกี่ยวข้องกับงานของเรามากขึ้น เราก็เลยศึกษาเรียนรู้เอง ผ่านอินเตอร์เน็ตและเว็บไซต์ยูทูป ตอนนั้นก็ประมาณ 4-5 ปี ที่จริงจัง


• คือฝีมือทั้งหมดเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ใช่ครับ..แล้วหลังจากนั้นก็อย่างที่บอกพอทําพวกผลงานวิดีโอพวกนี้ออกมา เราก็โพสต์ลงยูทูป โซเชียลมิเดีย ก็มีคนให้ ความสนใจ เขาก็อยากรู้ว่าเอฟเฟคต์พวกนี้ทําอย่างไร เราก็ทําสอนในชาแนลยูทูปใช้ชื่อ “nipanartofmedia” เอฟเฟคต์ ตัวนั้นตัวนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้คนทั่วไป เด็กๆ ที่สนใจทางด้านนี้ ตรงนี้ก็ทําให้เราได้ฝึกฝีมือ เพราะเราก็ต้องสร้าง ผลงานเราให้เขาเห็นด้วย ว่าเราจะท่าเอฟเฟคต์นี้ คล้ายการันตีฝีมือ ใครอยากจะทําอยากจะเรียนรู้ ก็เข้ามาเรียนกัน เป็นการ แบ่งปันความรูปในรูปแบบวิทยาทาน

และพอเราทําตรงนี้ขึ้นมา เราก็มีชื่อขึ้นมานิดหน่อย ทําให้มีงานตัดต่อ งานถ่ายทํา ข้างนอกมาให้เราทํา และก็มีเชิญเราไป เป็นวิทยากรบ้าง เป็นอาจารย์สอนพิเศษบ้าง อย่าง ไปเป็นอาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ เป็นครูสอน โปรแกรมเฉพาะ ที่ Inde : Innovative Design & Education เชียงใหม่ นอกจากนี้ก็จะมีพวกสื่อในส่วนของดีวีดีเป็นเซตที่ เราสอนโปรแกรมการท่าต่างๆ ขายผ่านออนไลน์


• มาจนถึง “The Deepest” (ลึกสุดห้วง) ตรงนี้มีอะไรเป็นแรงผลักให้ผลิตงานชิ้นนี้ออกมา

มันก็เหมือนเป็นการสะสมประสบการณ์เข้ามาเรื่อยๆ จุดประสงค์การทํางานเราเริ่มด้วยใจรัก ดังนั้น จุดประสงค์ของการ ทํางานของเราเลยคือเราไม่ได้ทําในเชิงพาณิชย์ ไม่หวังผลกําไร เป็นเหมือนการสร้างผลงานของตัวเองให้คนอื่นดูเท่านั้น เรื่องนี้ก็เหมืนกัน ถ้าใครได้ดูในตอนต้น เราจะบอกอยู่แล้วว่าเราสร้างโดยไม่ใช้ทุนสูง เพราะเราไม่คิดค่าอุปกรณ์ ค่าของที่เรามีอยู่แล้ว คือเราอยากจะให้นักศึกษาหรือใครคนอื่นๆ ที่สนใจ ที่เขามีความตั้งใจรู้สึกว่ามีกําลังใจ เป็นแรง บันดาลใจ เขาก็สามารถหาได้ โดยไม่จําเป็นต้องใช้ทุนเยอะก็ได้ เขาก็สามารถมีผลงาน

ขณะเดียวกัน ความคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมอยากจะสร้างผลงานที่คนไทยไม่เคยทํามาก่อน ก็เลยตีโจทย์ออก มาได้ “อวกาศ” นั้นเอง พวกหนังไซไฟ คนไทยเราไม่เคยมีเลยจริงๆแล้วมันเป็นที่น่าสนใจ ก็เลยเป็นที่มาของโปร เจ็คต์นี้ ก็ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 เดือน เรื่องเทคนิค เรื่องเขียนพล็อต องค์ประกอบโครงเรื่อง ตัวละคร ตั้งแต่เริ่มจนจบ เพราะมันมีหลายขบวนการเหมือนกันที่ล่าช้า แต่เราไม่ได้ทําเป็นเชิงพาณิชย์หรือเพื่อการค้า ดังนั้น เราไม่มีเส้นตาย ก็ค่อยๆ เรื่อยๆ


• จากทุน 1 พันบาทที่เราแสดงฝีมือไว้ ส่วนตัวเรามองแวดวงซีจีบ้านเราอย่างไร

ในส่วนตรงนี้ต้องเข้าใจกันก่อนว่าในงานด้านนี้เนี่ย เราอยากให้เรามองเป็น 2ด้านแยกกัน คือในด้านของผมที่ผมท่าโดยไม่ หาไม่หวังผลกําไร แต่ในด้านของแวดวงนั้นเขาทําในเชิงของธุรกิจ ดังนั้นแล้วมันจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ที่ว่าผมมี ใช้แค่ทุน 1 พันบาท ก็ทําได้ขนาดนี้ คือถ้าเขามีเงิน 1 ล้าน จะทําได้ขนาดไหน คือเขาทํางานในเชิงพาณิชย์ เขามีกรอบมี ข้อจํากัดมากกว่า เรียกว่าไม่ข้ามเส้นกัน เพราะว่าอย่างที่บอกในตัววิดีโอเราคาข้างต้น มันค่อนข้างจะชัดเจนทั้งหมดแล้ว เราไม่ได้คิดค่าแรง ไม่มีค่าต้นทุน ไม่นับในส่วนของทรัพยากร คอมพิวเตอร์ กล้อง โปรแกรม ที่เรามีอยู่แล้ว ในส่วนตัวนี้ มัน ก็จะเคลียร์เงินตรงนั้น ที่ 1 พันบาทเป็นเรื่องของค่าทรัพยากรที่เราไม่มี อย่างถุงมือก่อสร้าง ยานอวกาศของเล่นจําลอง ไม่ใช่ค่าทั้งหมดของการท่าซีจีคอมพิวเตอร์กราฟฟิก

ดังนั้น ถ้าในมุมมองคนไทย ตอบได้เลยครับว่าทําได้ แต่เหตุผลที่เรามักจะไม่ค่อยเห็นกัน ก็น่าจะเป็นเรื่องของการตลาด มากกว่า คือถ้าทําแนวนี้มันอาจจะขายไม่ออกหรืออาจจะขาดทุน เพราะมันลงทุนสูง การจะจ้างคนท่าซีวีดีๆ ทีมงานซีจี อย่างส่วนมากที่เราเห็นๆ ก็จะเป็นหนังผี หนังรัก หนังตลก ประมาณนี้ ดังนั้นแล้วมันแทบจะไม่มีช่องว่างในส่วนไหนเลยที่จะ ดึงซีจีให้มันเด่นได้ มันก็เลยเหมือนเป็นการตีกรอบที่ว่าซีจีจะมีอยู่แค่นี้ นิดๆ หน่อยๆ มันเป็นปัจจัยในส่วนตรงนั้นมากกว่า คือถ้าเราไม่พูดถึงเรื่องเชิงพาณิชย์ ถามว่าถ้าเขามีทุน 1 ล้าน หรือ 10 ล้าน ในด้านของวิชวลเอฟเฟคต์เขา หาได้ไหม แน่นอนเขาทําได้ เพียงแต่ว่าที่เรายังไม่ค่อยเห็น ไม่ใช่มันไม่มีหรือว่ามันไม่ดี มันดี เพราะฝีมือก็ ยอมรับ รู้จักหลายๆ คนเหม็นกันคนไทยที่มีฝีมือดี แต่เขาก็ไปทําให้ฮอลลีวูดไปเลย ปัจจัยคร่าวๆ อีกอย่างหนึ่งก็ เรื่องค่าตอบแทน ก็เลยหาให้กลุ่มคนทําซีจีดีๆ เหล่านี้ไม่ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ เราก็เลยไม่เห็น


• ทั้งๆ ที่คนไทยเรามีฝีมือ แต่ด้วยเหตุนี้เรื่องเกี่ยวกับซีจีคอมพิวเตอร์กราฟฟิกส์ของบ้านเราเหมือนก้าวอยู่กับที่ ไม่ไปไหน

ผมสนใจประเด็นนี้เหมือนกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งซึ่งทําให้ผมผลิตงานนี้ออกมา คือไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก่อน หน้านั้นก็ทําออกมาหลายเรื่องที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าศักยภาพของคนไทย เพราะเราต้องการไม่อยากให้มองว่าหนังที่ดี

จะต้องไปพึ่งเงินเยอะแยะในด้านของการทําวิชวลเอฟเฟคต์ แต่มันเหมือนอยู่ที่ใจเรามากกว่าที่เราอยากจะสร้างผลงานให้ มันออกมาได้ดี แล้วก็มีคุณภาพ เรื่องที่จะหยิบมุมมองที่เรายังไม่เคยเห็นในหนังตลาดมาท่า อันนี้ก็เป็นตัวที่แสดงให้เห็น ศักยภาพของตัวเราเอง และก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราได้พรีเซนต์อย่างที่เราชอบพูดกันว่า คนไทยก็ทําได้นะ

ถ้าเราไม่พูดถึงเรื่องเชิงพาณิชย์ เราพูดถึงเรื่องท่าเล่นเอง มันก็อยู่ที่กระบวนการคิดและการใส่ใจในการทํางานเรามากกว่า เพราะถ้าเราคิดแค่ว่าเราทําหนังสั้น เราจะทําแค่แบบเล่นๆ ก็ทําให้มันออกมาแบบห่วยๆ หน่อย หรือแย่ๆ หน่อย มันก็ จะได้แค่นั้นไง ถึงพยายามที่จะสื่อแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นผ่านผลงานชิ้นนี้ เราต้องมีการทํางานอะไรที่ใหม่ สําหรับ ผู้คนบ้าง ก็อย่างที่บอกที่ผมตีโจทย์นี้ ผมอยากหาอะไรที่คนไทยไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นก็เหมือนเราตอบโจทย์ ตั้งแต่แรกโดยการทําหนังไซไฟ เป็นหนังแนวอวกาศไปเลย ให้มันหลุดโลกไปเลย แล้วแต่ละอย่างมันก็จะค่อยๆ ตอบโจทย์มาอีกทีว่าวิชวลเอฟเฟคต์เราจะทําอย่างไร พล็อตจะหาอย่างไร ถ่ายท่าจะหาอย่างไร พูดตามตรงก็ได้ รับแรงบันดาลใจมาจากหลายเรื่องเหมือนกันของฮอลลีวูด แต่เราไม่ได้ต้องการจะเอาหนังฃองเราไปเทียบเคียง กับหนังฮอลลีวูดนะ เพราะมันคนละเรื่องกัน มันเทียบกันไม่ได้ เราแค่ต้องการทําเพื่อให้ออกมาให้เห็นในมุมมองของ คนไทยเท่านั้น

ซึ่งในส่วนตรงนี้ก็ได้ยินจากระทู้หรือคอมเมนท์ต่างๆ มันค่อนข้างจะถูกเบี่ยงเบนไปเยอะเหมือนกัน ที่เอาหนังเราไปเทียบกับ หนังฮอลลีวูดหนังต่างชาติ มันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเราสร้างให้มันเป็นในมุมมองของคนไทยที่ว่า ถ้าเราพูดกันจริงๆ แล้วหนังไทย คุณเคยเห็นอย่างนี้ไหม แน่นอนก็ต้องตอบว่าไม่เคยเห็น แล้วถ้าถามว่าดีไหมในฐานะของการที่เป็นคนไทย และทรัพยากรเท่านี้จากที่กล่าวมาทั้งหมดเนี่ย ก็ต้องตอบว่าหาได้ดีในจุดหนึ่ง เราก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นมืออาชีพที่แบบไม่มี ข้อผิดพลาด เราก็ยังเปรียบเสมือนมือสมัครเล่นที่เราพยายามที่จะพัฒนาตัวเอง แล้วก็ก้าวไปจุดๆ นั้น เหมือนกัน



• ส่วนตัวรู้สึกอย่างไรกับผลงานชิ้นนี้

ก็รู้สึกยินดีครับ ยินดีกับสิ่งที่เราได้รับมา มันคือเป็นเครดิตสําหรับของเราทีมงานทั้งหมด ทั้งนักแสดงโน่นนี่นั่น ทั้งหมดเลย ทีมงานดนตรีประกอบเพื่อนๆ ชาวอังกฤษ “Bradley Lewin", และคนไทย "Ezra Sittan” ที่มาอาสาทําเพลงให้ ก็คือมันเป็นสิ่งที่เราภาค ภูมิใจ เราต้องการให้คนไทยเราเองมีความรู้สึกชื่นชมยินดีกับคนไทยเราเอง ที่เราสามารถสร้างผลงานอย่างนี้ออกมาให้ได้ เห็นกัน แม้จะไม่ใช่เป็นหนังใหญ่หรือหนังตลาดก็ตาม แต่ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่ง อยู่ที่เราที่พยายามจะสื่อแล้วก็ทําให้คนเนี่ย สามารถเห็นอีกมุมมองหนึ่งของหนังไทยได้หรือศักยภาพของคนไทย


จากกระแสตอบรับผลงาน มีวางแผนคิดล่วงหน้าอนาคตไว้บ้างไหมว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กํากับหนังใหญ่ภาพยนตร์ฉายโรง

ในส่วนตรงนั้น ก็คิด ก็เป็นสิ่งที่เราสนใจมานานแล้วครับ เราก็รอโอกาสที่มันจะมาหาเราบ้าง พูดง่ายๆ เหมือนพวกนายทุน หรือใครที่อยากจะเสนอให้เราได้กํากับหนังสั้น หนังดีๆ หรือที่เกี่ยวกับวิชวลเอฟเฟคต์ แต่โดยส่วนตัวที่เราไม่ก้าวไปอยู่ตรง นั้น เพราะว่าเรามาทําในสิ่งที่เราเองค่อนข้างโอเค และเราก็ยึดติดนิดหนึ่งกับวิถีการดําเนินชีวิตของคนเชียงใหม่ที่เราชอบ มันก็ทําให้เราห่างไกล คือถ้าหากว่า “โอกาส” มันมาถึง เราก็ยินดีที่จะรับและพิจารณา เพื่อที่จะต่อยอดต่อ


• ในขณะที่ผลงานชิ้นนี้ทําให้คนลุกขึ้นมารู้ฝีมือของคนไทยในด้านซีจีและก็หันมาชอบ คิดว่าอนาคตข้างหน้า ทิศทางในเรื่องนี้คนจะสนใจมากน้อยแค่ไหน

ในส่วนตรงนี้มันไม่ได้อยู่ในส่วนของกลุ่มคนที่ทําซีจีเท่านั้น แต่มันอยู่ทั้งกระบวนหนังการเลย คือถ้าในมุมมองของผม แน่นอนว่ามันจะเป็นก้าวใหม่ ที่มันหลุดออกจากวงการเก่าๆ หลุดออกมาจากจุดเดิมเลย แล้วก็ทําให้คนเริ่มหันมา เป็นเหมือนการสร้างกระแสให้คนรู้จักบริโภคสิ่งใหม่ ที่มันอยู่ในระดับสากลของฮอลลีวูดได้ แต่ก็ไม่ได้ไปเทียบ เท่า เพราะเราก็ต้องยอมรับว่าฮอลลีวูดเขาเป็นเจ้าภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดจริงๆ ดังนั้นแล้วเนี่ยการที่คนไทยเราดูหนัง ฮอลลีวูดอยู่แล้ว เสพหนังฮอลลีวูดอยู่แล้วเนี่ย มันก็เป็นไปได้ มันก็น่าจะสร้างกระแสที่ตอบรับได้ดีเช่นกัน ถ้าเราสร้างหนังไทยให้มันออกมาสไตล์รูปแบบสากลของเขา มันก็น่าจะสร้างกระแสที่ตอบรับได้ดีเช่นกัน

เพราะว่าส่วนหนึ่งหลังจากเรื่องนี้ออกไป ก็มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หลายคนที่เขาเข้ามาทัก เขาบอกว่า “เราทําได้ 1 พันบาท เดี๋ยวเขาจะเอาบ้าง" ก็เหมือนเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา แล้วเขาก็มีใจที่อยากจะทําเหมือนกัน นั่นแหละจุดประสงค์หลักๆ เลยที่เราสร้างผลงานตัวนี้มา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนดูหรือคนที่อยากทํา คนที่สนใจในทางด้านนี้ มากกว่าสิ่งใด เพราะบางคนเขามักจะคิดทําหนังอย่างนี้ต้องมีทุนหลายแสน ต้องมีคนโน้น ต้องมีกองถ่ายเยอะๆ ต้องมีทีม งาน พอเขาคิดอย่างนั้นปุ๊บ มันเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายไปแล้ว เราไม่มีก็คือจบกัน การสร้างผลงานแบบนี้ด้วยงบประมาณที่ น้อยที่สุดและมันกลายเป็นสิ่งที่จุดประกาย จุดไฟ ให้คนที่รักการสร้างหนังสั้นหรือภาพยนตร์ด้วยตัวเองมันออกมา ก็อยาก จะเน้นตรงจุดนี้ว่าเราไม่ได้จะไปพาดพิงหรืออ้างอิงถึงรูปแบบเชิงพาณิชย์ เพราะมันคนละอย่างกันอย่างที่บอก เขามีข้อจํากัดหลายอย่างที่เราต้องเข้าใจ แต่เราไม่มีข้อจํากัดตรงนั้น เร็วๆ นี้ก็จะมีผลงานเบื้องหลังมาให้ได้ชมว่าเราทํางานกันอย่างไร


  • แต่ก็ส่งให้ไปถึงเมื่อคานส์ได้ ตรงนี้เราไปมาอย่างไร

ในส่วนตรงนี้ต้องให้เข้าใจก่อนว่า เราไม่ได้ส่งประกวด เราส่งเพื่อเข้าร่วมในงานเท่านั้น แล้วระบบของเทศกาลหนังเมืองคานส์เนี่ย คือใครก็สามารถส่งผลงานเข้าร่วมได้ แต่ว่าเขาจะมีระบบในการคัดเลือกภาพยนตร์ที่จะเข้าร่วมของเขาอีกที นั่น คือหมายความว่าต้องผ่านเกณฑ์การตัดสินของเขาก่อน นั่นก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งที่เราส่งไปแล้วเขาคัดเลือกเข้าไปในงาน ของเขาเรียบร้อย แต่จะฉายหรือไม่นั้น อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับเขา เพราะว่าเทศกาลหนังเมืองคานส์ยังไม่ปิดรับผลงาน ปิดเสร็จก็ คัดเลือก 50 เรื่องที่จะเข้าฉายในงาน ถึงตรงนั้นแหละที่จะเป็นอีกระดับหนึ่ง ถ้าเราได้เข้าฉาย

ในตอนนี้ ผลงานเราก็แค่ได้เข้าร่วมแต่ก็รู้สึกดี แม้จะไม่ได้รางวัล เพราะเราไม่ได้ส่งเพื่อวัตถุประสงค์อย่างนั้น เรา ต้องการส่งเพื่อจะเป็นส่วนร่วมในตัวงานเท่านั้น และก็ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่เราได้ส่งเข้าไป เพราะ ก่อนนี้ เราก็ไม่เคยส่งเข้าไป มันก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน สร้างความภูมิใจ ให้คนไทยเราเอง ได้หาในฐานะที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน


ดู 1 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comentários

Avaliado com 0 de 5 estrelas.
Ainda sem avaliações

Adicione uma avaliação
bottom of page