ทุกๆ การสร้างผลงานในแต่ละชิ้นย่อมต้องมีต้นทุน ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการสร้างผลงานนั้นๆ ออกมา แต่ไม่ว่าการลงทุนนั้น หรือในเคสนี้คือ "งบประมาณ" จะมากหรือน้อยแค่ไหน คุณภาพงานก็ควรจะยังคงอยู่ในขั้นมาตรฐานสากล ซึ่งการที่จะคุมงบกับสเกลของงานนั้นๆ ให้อยู่ได้นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการบริหารงานและเงินที่มี เพื่อให้งานออกมาได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ และทุกๆ คน ได้รับการแบ่งสันปันส่วนอย่างแฟร์ตามที่ได้ตกลงไว้ ซึ่งผมเองเคยเห็นและเคยอยู่ในแต่ละกองถ่ายทำ production ที่แตกต่างกันออกไป แต่หลายครั้งมากที่การคุมงานและงบประมาณนั้น จะมีการงอกและบานปลายไปมาก ซึ่งบ่อยครั้งที่จะส่งผลกระทบสิ่งที่เศร้าและสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเลยให้กับวงการนี้ และนี่ก็เป็นหนึ่งความท้าที่ผมต้องได้เจอ นั่นคือการได้รับการผิดชอบผลงานที่ใหญ่ขึ้น
ปลายปี 2016 โครงการ Love the thirteen ที่จัดโดยกลุ่มคริสเตียนก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยการค้นหาผู้กำกับภาพยนตร์ 5 คนจากทั่วประเทศเพื่อสร้างภาพยนตร์สั้น 5 เรื่องเพื่อประกอบกันเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียว ซึ่งหลังจากการส่งเรื่องย่อเข้าไป pitch แล้ว ทีมของผมก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้กำกับ ซึ่งตอนนั้นเองที่โปรเจคนี้ได้เริ่มต้นขึ้นจากการคิดโครงเรื่องและเขียนบท และนี่คือช่วงเวลาที่ผมได้เรียนรู้การเขียนบทจริงๆ จากเจสัน เพราะถึงแม้ผมจะมีโครงเรื่องที่น่าสนใจ แต่เพื่อให้เป็นไปตามโครงสร้างของการเป็นบทภาพยนตร์ที่แท้จริงแล้ว ผมต้องยกหน้าที่ให้กับคนที่รู้งานและมีประสบการณ์ดีกว่าผมแน่นอน ซึ่งนั่นคือเจสันนั่นเอง เขาได้สอนและอธิบายถึงขั้นตอนและกระบวนการคิดที่น่าสนใจมากมายที่เปิดโลกทัศน์ในด้านนี้ให้กับผมได้เป็นอย่างดี และเป็นประโยชน์ต่อๆ มาจนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งเราสรุปและฟันธงกันในเรื่องของบทภาพยนตร์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของ "Look For Me At Dusk - ลับขอบฟ้า"
ขั้นตอนต่อไปคือ Preproduction ที่เราต้องตามหาทีมงาน และนักแสดง ซึ่งนี่ก็คืออีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ในการทำงานของผมเช่นกัน เพราะแม้ว่าผมจะเคยทำหนังสั้นมาแล้วมากมาย แต่งานเหล่านั้นล้วนเป็นงานขนาดเล็กและใช้งบไม่มากนัก จึงเป็นการไม่ยากมากที่จะคุมงาน แต่สำหรับงานนี้แล้วที่ขนาดของงานใหญ่ขึ้นและเยอะขึ้น ก็ต้องการทีมงานที่ครบพร้อมและครอบคลุมเช่นกัน เพื่อให้งานสามารถเดินไปได้อย่างราบลื่นและเป็นไปตามเป้าหมาย ทุกๆ คนในแต่ละตำแหน่งล้วนมีความสำคัญมาก ดังนั้นจึงเป็นส่วนที่สำคัญมากๆ ที่เราต้องมีทีมที่พร้อมสำหรับงานและรับมือในแต่ละส่วน
อย่างแรกก่อนเลยคือ ค้นหานักแสดง ซึ่งเราได้ทำการประกาศหานักแสดง (casting) ทั้งตัวละครพ่อและลูกชาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่สุดท้ายแล้วเราก็ได้นักแสดงที่เราต้องการผ่านคนรู้จัก ซึ่งเราต้องทำการสอนการแสดงและปรับนักแสดงให้เข้ากับตัวละครที่บทได้เขียนเอาไว้ เป็นกระบวนการที่สนุกมากและท้าทายด้วย เพราะนักแสดงที่เราเลือกมานั้น ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการแสดงอะไรแต่อย่างใด แต่ด้วยความพยายามและความเต็มที่กับงานทำให้พวกเขาสามารถทำมันออกมาได้อย่างทุ่มเทที่สุด และหลังจากนั้นก็เป็นการหานักแสดงสมทบอื่นๆ ซึ่งเราก็ได้มาในที่สุด
ในขณะเดียวกันที่ทีมเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์การแสดงต้องเริ่มเดินงานเช่นกัน โดยเราจะมีฉากใหญ่ๆ โดยที่มีฉากเครื่องบินตก ซึ่งผมรู้ดีว่าเราจะต้องใช้หลักการ Miniatures scale ซึ่งเราได้สร้างโมเดลจำลองเครื่องบินขึ้นมาจากกระดาษกล่องและอื่นๆ เพื่อให้ได้เหมือนของจริงมากที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้วเราจะต้องเผาและระเบิดมันทิ้ง และจะนำมาใช้ในงาน VFX ในตอนท้าย ซึ่งเครื่องบินจำลองที่ว่านี้ก็มีขนาดใหญ่เหมือนกัน เพราะขนาดปีกทั้งสองด้านของมันยังไม่สามารถใส่ในรถกระบะได้เลย แต่ก็เป็นงานที่ใหม่และสนุกมากๆ เพราะมันคือการลงทุนลงแรงที่เราไม่เคยทำมาก่อน และไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้จริงรึเปล่าในเชิงปฏิบัติ
การวางแผนของแต่ละฝ่ายค่อยๆ เดินไปพร้อมๆ กับการเตรียมงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฝ่าย Special Effect ซึ่งนี้คือสิ่งที่ผมไม่เคยทำหรือลองมาก่อน เพราะความยากและอันตรายของงานด้านเฉพาะนี้ นั่นก็คือการทำระเบิดไฟของจริงเพื่อใช้ประกอบในฉาก ซึ่งจากประสบการณ์งานของผมเองที่ผ่านมานั้น ผมไม่เคยคิดที่จะได้แตะในส่วนตรงนี้เลย เพราะความยุ่งยากและงบประมาณที่สูงขึ้น ซึ่งหากมีฉากระเบิดหรือไฟไหม้เกิดขึ้น ผมมักจะพึ่งพาในส่วนของ VFX อยู่เสมอ แต่แน่นอนว่าเทคนิคนี้มีข้อจำกัดของมันอยู่ โดยเฉพาะกับการวางฉากของเราที่ต้องมีการระเบิดตอนกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาในการทำ VFX เหล่านี้ในฉากมืดและไม่มีแสงตกกระทบกับวัตถุต่างๆ ซึ่งอาจทำให้งานที่ออกมานั้นดูหลอกและปลอมไปเลย (แม้ว่าเทคนิคการสาดแสงเข้าใส่อาจจะช่วยได้บ้าง แต่บางอย่างมุมก็ยังถือว่ายากในการทำ VFX) นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำการทดลองและศึกษาผ่านระบบ DIY. โดยเราได้เริ่มจากการทดลองสิ่งที่เรียกว่า "Air Canon Explosion" มันคือการใช้แรงอัดจากลมในการยิงไฟให้เกิดการระเบิดออก ซึ่งจากที่ผมได้ทดลองแล้ว ภาพที่ออกมาดูมีประสิทธิภาพมากๆ ทั้งไฟและการสามารถในการควบคุมทิศทางของระเบิด อีกทั้งยังไม่มีเสียงดังหรือแรงอัดระเบิดที่อันตรายด้วย แม้ว่าความอันตรายนั้นยังคงมีอยู่ แต่เมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นๆ แล้ว วิธีนี้ก็ยังถือว่าปลอดภัยกว่า เราเริ่มทดลองใช้กับคนจริงก่อนเพื่อเราจะได้ทราบว่า นักแสดงจะสามารถทนความร้อนได้หรือไม่ และการตั้งค่าของกล้องถ่ายจะต้องทำอย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทุกๆ อย่างก็ออกมาได้ดีและเรียบร้อยพร้อมที่จะเดินงานจริงได้
การเปิดกล้องวันแรกเป็นไปได้ด้วยดีและเกร็งๆ+ตื่นเต้น ซึ่งเราก็ทำออกมาได้ดี รวมไปถึงวันอื่นๆ ถัดมาที่เราได้ถ่ายทำฉากระเบิดจริงพร้อมทั้งวางนักแสดงจริงในตำแหน่งระเบิด ซึ่งทุกๆ อย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี/ปลอดภัย แม้กระทั่งฉากเซตใหญ่ที่เราต้องระเบิดพังถล่มผนังเซตที่เราสร้างมาขนาดเท่าผนังบ้านของจริง ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเช่นกัน อีกฉากที่ท้ายทายคือฉากใหญ่ที่มีนักแสดงประกอบมากมายเกือบร้อยคนวิ่งพล่านภายในฉาก และวางระเบิดทั้งหมด 5 จุดต่อเนื่องกันแบบเทคเดียวผ่าน ก็เป็นอะไรที่ท้าทายมากๆ และอันตรายด้วย เพราะเนื่องจากระยะลู่วิ่งของนักแสดงและการสับสวิชระเบิดให้ตรงตำแหน่งหลังจากนักแสดงได้วิ่งผ่านไป แต่แล้วอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นเมื่อ การสับสวิชระเบิดครั้งหนึ่งพลาดจังหวะและระเบิดตรงหน้าใส่ Jason ตากล้องและน้องฝึกงานที่ขับรถเดินกล้องให้ ทุกๆ คนหยุดทุกๆ อย่างในการทำงานแล้วพุ่งความสนใจตรงไปที่เจสันทันที และเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นห่วงมากที่ไฟจากระเบิดนั้นได้ผ่านเฉียดเจสันไป ทิ้งไว้เพียงหนวดและคิ้วที่ไหม้งอนิดๆ เพราะแท้จริงแล้วไฟระเบิดเพียงแค่วูบผ่านเท่านั้น แม้จะร้อนบ้างแต่ไม่ก่อให้เกิดกาเผาไหม้ต่อผิวหนัง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เราได้เรียนรู้แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่พึงคำนึงอยู่เสมออยู่แล้ว นั่นก็คือ "ความปลอดภัยมาเป็นอันดับ1" และหลังจากนั้นมาเราก็เพิ่มความระวังให้มากขึ้นและไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกเลย
ทุกๆ การถ่ายทำผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้อาจจะมีการข้อเท้าแพลงนิดหนึ่งจากการก้าวพลาดของนักแสดงพี่ Debbie ที่รับบทเป็นแม่ แต่นอกเหนือจากนั้นมันคือกองถ่ายทำโปรดักชั่นที่สนุก, เครียด, และสร้างสรรค์มากๆ หลายคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างเต็มที่ ทำให้เราได้แรงกายและแรงใจจากทุกๆ ฝ่ายเพื่อให้งานส่วนนี้เสร็จสมบูรณ์แบบในที่สุด
เมื่อ Post Production เดินทางมาเยือนช่วงกระบวนการสุดท้าย การตัดต่อก็เริ่มขึ้น ซึ่งผมรับหน้าที่ตรงนี้และทำให้เสร็จได้ภายในเวลาไม่มากนัก และเราก็เริ่มในส่วนของด้าน VFX ที่ต้องใช้เวลามากพอควร บวกกับหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยลองมาก่อน การนำภาพเครื่องบินไฟไหม้ที่เราถ่ายนำมาประกอบกับโมเดล 3D ให้เข้ากันเพื่อให้ดูเสมือนจริง ก็ออกมาดูดีและสมจริงมาก รวมไปถึงฉากที่ท้าทายอื่นๆ มากมายที่ทีมงานด้าน VFX ทั้งหมดในตอนนั้น ก็คือเหล่าเด็กๆ ฝึกงานที่ทุ่มแรงกายและใจในการทำงานชิ้นนี้ เพราะทุกคนต่างมุ่งหวังที่จะได้เห็นผลงานดีๆ ด้วยฝีมือของตัวเองออกมาทั้งนั้น และแม้แต่การเข้ามาช่วยของเหล่าน้องๆ ในกลุ่ม VFX จากข้างนอก ก็ได้มีโอกาสร่วมสร้างผลงานด้วยเช่นกัน จนถึงกระบวนการแต่ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ที่ผมได้ทำควบคู่ไปกับการทำ VFX นั้น ผมได้ร่างดนตรีธีมของหนังออกมาทั้งหมดประมาณ 9 แบบด้วยกัน และให้ทีมงานฟังและช่วยกันโหวด จนในที่สุดเราก็ได้ธีมที่เลือกกันและนำมาใช้ในหนังของเรา โดยผมได้แต่งดนตรีประกอบในส่วนอื่นๆ ต่อ และได้มีโอกาสร่วมงานด้วยกันอีกครั้งกับ Bradley ซึ่งในที่สุดเราได้เดินเข้าสู่กระกวนการสุดท้ายนั่นคือ "color grading" คือกระบวนการเกรดสีให้กับภาพรวมทั้งหมด ซึ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีและเสร็จทันเวลาส่งงานให้กับทางโปรดิวเซอร์
เมื่อเวลาผ่านไปก่อนวันที่ภาพยนตร์จะฉายจริง เราก็ได้มีโอกาสเดินทางไปโปรโหมดภาพยนตร์ในต่างจังหวัด และฉายรอบสื่อที่กรุงเทพ ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการร่วมงานเปิดตัวหนังเป็นครั้งแรกเช่นกัน ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และได้พบปะกับผู้กำกับคนอื่นๆ และอีกมากมาย โดยทางผมมี นักแสดงหลัก 2 คน และนักแสดงสมทบอีก 2 คนที่เดินทางไปร่วมงานนี้ ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและประทับใจมากๆ ที่ได้เห็นผลงานที่ลงแรงไป ออกมาเป็นภาพผลงานที่สามารถแบ่งปันให้กับอีกหลายๆ คนได้ดูและเก็บไว้ได้
จากเส้นทางการเดินมาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้การทำงานที่กว้างมากขึ้น, ใหญ่มากขึ้น, อันตรายมากขึ้น, ท้าทายมากขึ้น และประทับใจมากขึ้น มันคือการรวมตัวกันของทุกๆ คนในทีมงานที่เข้ามาร่วมมือกัน และสร้างผลงานดีๆ เพื่อเป็นผลงานที่สามารถโชว์ให้กับลูกหลานได้และอีกต่อๆ ไป มันคือหนึ่งในผลงานศิลปะที่สามารถชมและสร้างผลกระทบดีๆ ให้กับคนอื่นๆ ได้ด้วย เพราะสิ่งที่เราอยากจะสื่อผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือเรื่องราวของความรักของตัวละคร ที่ไม่ต่างอะไรกันกับพวกเราทุกๆ คนในทีมงานที่ต่างทำงานกันด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความรัก และไม่ว่าผลลัพท์มันจะออกมายังไงก็ตาม มันก็จะคอยย้ำเตือนถึงประสบการณ์ที่เราผ่านร่วมด้วยกันมาถึงช่วงเวลาที่น่าจดจำเหล่านั้น
Comments