(บทความจากนิตยสาร HIP ของรอบที่ vol.07 no.75 ประจำเดือน มกราคม 2011)
หากได้คุยกับเด็กหนุ่มอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีคนนี้ แล้วคุณจะลงความเห็น เหมือนกันกับเราว่า
แรมโบ้ - นิพันธ์ จ้าวเจริญ มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว อาจจะด้วยหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบตั้งแต่อายุยังน้อย คือ การตัดต่อภาพยนตร์ให้กับ CBN Siam องค์กรผลิตสื่อโทรทัศน์คริสเตียน และในฐานะลูกชายครอบครัวจ้าวเจริญพร ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านแสงไทยดรุณ สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ให้ความช่วยเหลือเด็กชาวเขาเผ่าม้งจนกว่าเด็กจะดูแลตัวเองได้ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นที่พักอาศัย อาหาร การศึกษา รวมทั้งความรักและการเอาใจใส่ที่ดีซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในการดูแลเด็ก
นอกเหนือจากการทำงานให้กับองค์กร CBN Siam แล้ว เขาบอกว่ายังมีอีกหนึ่งภาระใจที่ตนเองต้องทำ นั่นก็คือการดูแลเด็กมูลนิธิบ้านแสงไทยดรุณซึ่งขณะนี้กลายเป็นครอบครัวใหญ่ มีเด็กในความดูแล 45 คน โดยแรมโบ้รับหน้าที่ประชาสัมพันธ์มูลนิธิให้เป็นรู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพื่อหารายได้ในการดูแลเด็กๆ ทั้งหมด ซึ่งวิธีการของโบ้ก็คือทำในสิ่งที่เขาถนัด นั่นก็คือ ทำหนังสั้น
“เรื่องของเด็กด้อยโอกาสเป็นสัจธรรมของชีวิตนะ บางทีเรารู้ว่ามีเด็กกำพร้าเด็กเร่ร่อนแบบนี้ แต่ก็นึกไม่ออกว่าพวกเขามีความลำบากแค่ไหน สิ่งที่พยายามสื่อออกมาก็เพื่อให้คนได้ตระหนักว่า เออ... ยังมีเด็กที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน เสื้อผ้าไม่มีใส่ ไม่ได้รับโอกาสเหมือนเรา ซึ่งเป็นเหมือนอีกซอกหลืบหนึ่งของสังคมที่เราอาจจะคิดไม่ถึง
“เมื่อก่อนตอนพ่อแม่เริ่มทำบ้านเด็ก ได้ไปช่วยงาน อยู่คลุกคลี พูดคุยกับพวกเขาแล้วมันเศร้า ทำไมชีวิตมีแต่แย่ลงๆ ก็เลยกลายเป็นแรงบันดาลใจที่อยากทำหนังขึ้นมา อยากจะทำให้งานของเรามีคุณค่าในแง่ที่ว่า คนดูหนังของเราแล้ว เข้าใจถึงชีวิตของเด็กๆ แล้ว ให้การช่วยเหลือจนสามารถเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของใครได้ ช่วยให้เด็กเป็นคนที่มีคุณค่าในสังคมต่อไปได้ แค่นี้ก็ดีใจแล้วครับ”
แม้ไม่ได้เรียนทางด้านภาพยนตร์มาโดยตรง แต่แรมโบ้ก็ศึกษาวิธีการใช้โปรแกรมตัดต่อด้วยตัวเองตัวเองตั้งแต่อายุสิบห้า เริ่มจากถ่ายกล้องแฮนดิแคมง่ายๆ ด้วยความชอบนั้นเขาก็นำไปลงมือสานฝันต่อ เมื่อครั้งได้รับการอุปการะให้ไปเรียนหนังสือที่สหรัฐอเมริกา
“ส่วนตัวเป็นคนชอบดูหนัง เมื่อก่อนพ่อกับแม่เป็นนักร้องในโบสถ์ ก็ร้องเพลงคริสเตียนอัดใส่เทปขาย บางทีก็ทำมิวสิควิดีโอ คือไปจ้างเขาตัดก็แพง พ่อกับแม่ก็เลยให้โบ้เรียนรู้การตัดต่อไว้ เริ่มชอบจากตรงนั้นมา ก็เลยทำหนังสั้น กับเพื่อนเล่นๆ ตอนที่ไปอเมริกา โปรเจคต์ตัวจบแรมโบ้ ทำหนังสั้นแล้วมีคนชอบ ก็เริ่มพัฒนาจากตรงนั้น ที่รู้สึกว่าอยากเอาจริงเอาจัง คิดว่าเราน่าจะทำได้ พอกลับมาที่นี่ก็ได้มาคลุกคลีบ้านเด็ก เริ่มมีใจอยากจะทำ ในขณะเดียวกันพ่อก็เชียร์ว่าลองทำโปรโมทบ้านเด็กสักเรื่องไหม ก็ได้เรื่อง Amazing Grace ออกมา มีเสียงตอบรับที่ดี มีคนมาขอเป็น Volunteer จากการดูเรื่องนี้ ก็เลยเริ่มรู้สึกว่ามีคุณค่านะ อยากจะทำสิ่งเหล่านี้ให้มีคุณค่า ไม่เหมือนเป็นแค่หนังสนุกๆ สักเรื่อง จบไปก็
ผ่านไป คืออย่างน้อยให้ได้ก่อจุดเริ่มต้นในใจใครสักคน แล้วทำให้เขาตระหนักว่าเออ เรื่องนี้มีอยู่จริงนะ
“สำหรับโบ้ หนังเป็นอีกสื่อหนึ่งที่สามารถแตะต้องใจคนได้ สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้เหมือนหนังสือ โฆษณา ละครที่ต้องใจคน แต่หนังอาจจะใช้เวลายาว ความหมายที่เราจะใส่เข้าไปหรือสิ่งที่เราจะสื่อ เรามีเวลาเตรียมตัวมากกว่า แล้วถ้าเสร็จออกมา คนดูได้ดู นั่นล่ะที่จะแตะต้องจิตใจคนได้มากกว่า แล้วก็ถือว่าเป็นผลงานหนึ่งของเราเหมือนกัน ซึ่งการทำหนังไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินพันล้านแต่ขอให้มีคุณค่าในชีวิตของคนแค่นั้นแหละ มีค่ามากกว่าเงินพันล้านที่ได้มานะ”
Topic: People
TEXT: SARANYA
PIC: NIPAN STUDIO
28th Jan 2011
Comentarios