หากนำเรื่องนี้มาเล่าในตอนนี้ มันค่อนข้างจะเลือนลางไปสักนิดนึง แต่ในขณะเดียวกันมันคือกลิ่นไอที่ฉุนและติดจมูกมาก (ในเชิงที่ดีนะ) เพราะมันคืองานที่ไม่ได้ตั้งใจว่ามันจะไปได้ไกลมากขนาดนั้น แม้ว่ามันจะไม่ได้ไปไกลมากขนาดนั้นในเวลาเดียวกันก็ตาม
หากบางคนที่เคยติดตามผลงานของช่อง Youtube ของผมมาตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ก็จะเริ่มเห็นผลงานที่นำเสนอไอเดียต่างๆ ผ่านคลิปสั้นๆ ซึ่งมันมีเรื่องหนึ่งที่มันค่อยๆ ถูกพัฒนาเป็นกึ่งซีรี่มาเรื่อยๆ เนื่องจากคอมเม้นที่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนซีรี่ย์นี้ เริ่มตั้งแต่ผลงานที่ชื่อ “Escape” ในปี 2012 ที่ว่าด้วยตัวละคร(ผมแสดงเอง) พยายามหนีตายจากซอมบี้ที่เข้ามาจู่โจม มันคือการอยากทดลองอะไรใหม่ๆ ในเรื่องความดิบและเถื่อนของการกำกับและเอฟเฟคส์ที่บางเบาแต่เรียบเนียน ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่น่าประทับใจและเป็นตัวจุดประกายไอเดียในเวลาต่อมา
2 ปีให้หลังต่อมา หลังจากผลงานนั้น “The Silent” ในปี 2014 ก็ถือกำเนิดขึ้น จะถือว่าเป็น “ภาคต่อ” จากเรื่องที่แล้วก็ได้ เรื่องนี้แทบจะไม่ได้เน้นเรื่องราวหรือตัวละครอะไรมากเลย เพราะอยากจะโชว์และทดลองเอฟเฟคส์ใหม่ๆ ที่ตัวเองอยากเห็นและอยากทำ ด้วยการขยายขอบเขตความสามารถของตัวเองให้กว้างมากขึ้น และขยายขนาดของผลงานให้มีความ global มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนุกมากๆ เพราะได้รับการร่วมมือจากน้องๆ ที่ร่วมส่ง footage สถานที่จากพื้นที่จังหวัดของตัวเอง เพื่อสร้าง look ที่แปลก+ใหม่ให้กับเมืองของตัวเอง แน่นอนว่าผลงานทดลองนี้ไม่ได้เป็นผลงานที่ดีเลิศในด้านโปรดักชั่นหรือที่สุดของด้าน VFX ก็ตาม แต่นี่ทำให้ผมได้เข้าใจ,รู้ และลิ้มลองถึง การทำเอฟเฟคส์นี้ให้กับภาพยนตร์ได้ พร้อมทั้งที่จะต่อยอดเอฟเฟคส์นี้ไปได้ในอนาคต อีกทั้งยังเป็นผลงานสะสมที่ยังสามารถนำไปโชว์ได้ก็ตาม (ในตอนนั้น)
และเมื่ออีก 2 ปีต่อมา เมื่อไอเดียนี้หวนกลับมาอีกที แต่ครั้งนี้ผมมีน้อง Tommy (Thomas William Ewins) ที่เริ่มได้ร่วมงานกันมาสักพัก ซึ่งตอนแรกนั้นไอเดียคือการสร้าง Trailer Pilot สำหรับหนังอีกเรื่องที่จัดว่าอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับ Escape โดยกำหนดเวลาไว้ที่ 2นาทีเท่านั้น ไอเดียนี่จึงเริ่มที่จะสร้าง “บท” สั้นๆ สำหรับ 1 ซีนเพื่อใช้ในการเล่าเรื่องใน Trailer นี้ เราทุกคนในทีมจำนวนหยิบมือวางแผนกัน แล้วเราก็เริ่มถ่ายทำกัน ซึ่งเราหารู้ไม่ว่า นั่นแหละ คือวันที่เรา “เปิดกล้อง” ของภาพยนตร์ Full Featuer เรื่องแรกของผม ในนามว่า “Silent of the Dusk อัสดงแห่งความเงียบ” หลังจากการถ่ายทำฉากนั้นเสร็จ ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการตัดต่อ ซึ่งเมื่อผลงานสำเร็จแล้ว มันกลับกลายเป็นซีนที่กินใจและความรู้สึกของเรามากๆ ซึ่งผมได้มีโอกาสแชร์คลิปนี้ให้กับคุณพ่อแม่ของน้อง Tommy ได้ดู และพวกเขาก็คอมเม้นกลับมาเป็นเสียงเดียวกันเช่นกัน และนี่ก็เป็นอีกจุดกำเนิดหนึ่งของการขยายขอบเขตของจำนวนซีน โดยการเขียนบทเพิ่มมาเรื่อยๆ และเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพยนตร์ความยาว 1ชั่วโมงกว่า โดยเราใช้เวลาทุกๆ วันเสาร์ในการถ่ายทำเท่านั้น เพราะน้อง Tommy ต้องไปโรงเรียนในวันปกติ และในช่วงระหว่างอาทิตย์ ผมจะนำฉากเหล่านั้นมาตัดต่อและทำ VFX เพื่อให้รู้ว่า ฉากเหล่านั้นออกมาอย่างไรและจะต้องเดินเรื่องต่ออย่างไร ขั้นตอนการถ่ายทำนี้ใช้เวลาประมาณ 15-20 วันในการถ่ายทำเฉพาะวันเสาร์ ซึ่งเราก็ได้หลายๆ คนเข้ามามีส่วนร่วมและร่วมมือด้วยเช่นกัน รวมไปถึงนักแสดงแทนตัวแฝดของ Tommy ที่ได้ Jack มารับบทเป็นนักแสดงแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่สนุกมากๆ และเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ สำหรับทุกๆ คนในทีมงาน
บรรยากาศในกองถ่ายนั้น แสนจะสบายและไม่กดดัน เพราะในความตั้งใจของผมในตอนนั้นคือ หากหนังเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมก็คงจะนำไปโพสในช่อง Youtube ของผมเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ความตึงเครียดในการทำงานลดน้อยลงไปได้มาก แม้ว่าประสบการณ์ในการถ่ายทำของผมจะไม่มากเลยในเชิงของความเป็นมืออาชีพ แต่ผมก็พยายามสุดฝีมือจากความรู้ที่เก็บสะสมมาเพื่อนำมาสร้างและถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวของผมให้ออกมาเป็นภาพ ความเป็นกันเองทำให้หลายๆ คน ที่หากเข้ามาดู คงห้ามไม่ได้ที่จะคิดว่า “โปรดักชั่นนี้มันอะไรหว่า…” เพราะมันคงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในหลายๆ ช่วงเวลา แต่เมื่อคำว่า “ACTION!” ดังขึ้น อารมณ์ของการทำงานและการทุ่มเทของทุกๆ คนในทีมงานก็จะลงมาสถิตและสร้างบรรยากาศทันที แม้ว่าเราจะเจอปัญหาและอุปสรรค์มากมายก็ตาม แต่ผมก็พยายามหาทางออกและเตรียมแผนสำรองเสมอ เพราะการถ่ายทำแบบ “กองโจร” ของเรานั้น ทำให้เราสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย และไม่ยึดติดกับสถานที่นั้นๆ ที่เราไปถ่าย หากเราไม่สามารถเข้าไปถ่ายทำที่นั้นๆ ได้จริง เพราะทุกๆ การคุมงบนั้น มาจากกระเป๋าของผมเองล้วนๆ มันคือการทุ่มเททั้ง สมอง กาย และใจ ที่ต้องจูนและรักษาสมดุลของมันเอาไว้ให้ได้และให้ดี เพราะการถ่ายทำแฝดปลอมนี้ โดยที่ไม่มีผู้ช่วยผู้กำกับจริงๆ นั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ และแทบเป็นไปไม่ได้เลยหากผู้กำกับนั้นไม่มีความเข้าใจเรื่อง VFX. ครั้งหนึ่งที่พวกเราถ่ายฉากต่อสู้กันในป่า และตัวละครแฝดทั้ง2 อยู่ตำแหน่งคนละด้าน, ใส่เสื้อผ้าคนละชุด, มุมกล้องที่ต้องสร้างความเสมือน long take, และการเคลื่อนกล้องที่คิดเผื่อถึงการนำไปผสานต่อด้วย VFX ภายหลัง สิ่งต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกันนี้ ทำให้สมองของผมตอนนั้น error หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับจอฟ้าที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในช่วงหนึ่ง ผมหยุดทำทุกๆ อย่างแล้วคิดปะติดปะต่อภาพและทุกๆ กระบวนการในหัวประมาณ 10-15 วินาที ในขณะที่ทีมงานทุกๆ คนจ้องมองรอฟังคำสั่งงานต่อจากผมในช่วงที่ dead air นั้น จนกระทั้งผมเรียกสติตัวเองกลับมาได้ และวางแผนในการถ่ายทำต่อได้ในที่สุด แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำดูเหมือนตลก ซึ่งมันก็ตลกดีจริงๆ แต่มันทำให้ผมได้เข้าใจถึงการทำงานรวบรัดและชัดเจนได้ และมันจะดีไปกว่านี้ได้ หากมีบุคลากรทีมงานที่ช่วยหนุนให้กองถ่ายทำอันซับซ้อนนี้ผ่านพ้นไปได้
หลังจากการ “ปิดกล้อง” ไป งานด้าน post production ก็เริ่มต้นขึ้น ทุกๆ อย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งถึงขั้นตอนการทำเสียง และดนตรีประกอบ ที่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังถือว่ามันคือ ดนตรีประกอบที่มี Theme ที่ดีที่สุดที่ผมเคยประพันธ์มา แม้ว่าธีมนี้จะไม่ได้ใช้บ่อยมากนักในหนัง แต่การขยายธีมนี้เข้าไปในเพลงประกอบที่ชื่อว่า “Silence Falls” ซึ่งขับร้องโดย Jade Seyen นั้น ทำให้ธีมนี้มีอนุภาพที่มีพลังมากขึ้นไปอีก จนกระทั่งได้เวลาปล่อย Official Trailer ของภาพยนตร์เรื่องนี้สู่สายตาให้คนได้ชม ซึ่งตอนนั้นตัวอย่างนี้ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก แม้ว่าในจุดด้อยที่ผมรู้ว่ามันมีอยู่ ก็ยังคงต้องการการพัฒนาต่อ ก็ไม่ได้หยุดแรงขับเคลื่อนในการผลักดันหนังเรื่องนี้ให้ไปต่อ จนกระทั่ง…
ความทรงจำตรงนี้ที่ค่อนข้างเลือนลาง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นช่วงที่สำคัญมากๆ และผมควรจะจำ แต่ผมคิดว่าเพราะความอึ้งและตลึง ทำให้มันช็อคความรู้สึกผมไปช่วงขณะหนึ่งจนลืมบันทึกความทรงจำส่วนตรงนั้นไว้ในสมอง มันเหมือนความฝันที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่แน่ใจว่ามันเป็นความฝันที่ควรจะรับรู้และลืมๆ มันไป หรือเป็นความจริงที่ควรจะตื่นมาและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากมัน…นั่นคือ เมื่อตัวแทนของโรงภาพยนตร์ SF Cinema โทรติดต่อเข้ามาพูดคุยถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ของผม ที่ได้มีการปล่อยตัวอย่างออกไปได้ไม่นานนัก ถึงเรื่องการที่เขาสนใจที่อยากจะคุยกับผมและการนำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของ SF ในโมเดล Exclusive movie ซึ่งช่วงนั้น SF ค่อนข้างจะมีหนังนอกกระแสมากเลยทีเดียว ผมจึงตอบตกลงและเดินทางไปคุยข้อตกลงกันที่สำนักงานใหญ่ของ SF ที่กรุงเทพ
การพบปะกับทีมงานและหัวหน้าประจำการของ SF เป็นสิ่งที่เกร็งมากๆ เหตุผลคงเป็นเพราะเป็นครั้งแรกของชีวิตราวกับความฝันมั้ง การพูดคุยที่ค่อนข้างคลุมเคลือทำให้ผมและภรรยาที่ไปด้วยกัน มึนงงสักพัก เพราะการที่ไม่มีบทสรุปใดๆ ที่ไม่ชัดเจนมาก หลังจากที่เราเดินทางกลับมาที่เชียงใหม่ เราจึงได้ติดต่อกับผู้ประสานงานดังกล่าว และได้คำตอบว่า “ทางโรงภาพยนตร์ SF จะจัดรอบฉายให้เริ่มต้นวันที่ 15 กันยายน ในระบบ Exclusive movie” ในเฉพาะห้าง Maya เชียงใหม่เท่านั้น เพื่อเป็นรอบทดลองว่ากระแสหนังจะเป็นยังไงต่อ ซึ่งด้วยข่าวเดียวเล็กน้อยเพียงเท่านี้สำหรับคนที่ทำหนังอินดี้เล็กๆ ที่ตอนแรกคิดว่าจะเอาลง Youtube เท่านั้น นี่คือข่าวดีที่สุดเท่าที่คนทำหนังคนหนึ่งจะฝันได้ ผมไม่มีหรือคาดฝันคือการทำเงินรายได้มากมายจากการขายตั๋วจากภาพยนตร์ หรือการที่หนังจะถูกต่อยอดไปต่ออีกหลายสาขา แต่เพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ยินดีและเป็นโอกาสทองที่มันได้เข้ามาหาผมแล้ว และผมก็ได้ยื่นมืออ้าแขนรับมันไว้อย่างเต็มที่ เพราะมันจะมีอะไรเหลือให้ผมต้องได้เสียอีก….
การเตรียมไฟล์หนังและการทำสื่อในการโปรโหมดค่อยๆ เริ่มขึ้นจากคำแนะนำของโรงภาพยนตร์ และการได้เห็นโปสเตอร์หนังของตัวเองบนบอร์ทภาพยนตร์ “coming soon” นั้น ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ผมและทุกๆ คนในทีมงานต่างได้รับเช่นกัน ผมได้มีโอกาสเช็คหนังของเราในโรงหนังจริง และมันเป็นความรู้สึกที่ดีใจท่วมท้นมากๆ จนบอกไม่ถูก และนี่คือความทรงจำที่ผมคงจะไม่มีวันลืมเลย จนกระทั่งวันแห่งการปฐมฤกษิ์ของหนังในรอบสื่อ ที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยและถามตอบกับผู้ชม ซึ่งก็ได้รับการให้ความสนใจมากมายเช่นกัน แม้ว่าผมจะเข้าใจว่ามีหลายๆ อย่างที่เราสามารถพัฒนาและทำให้ดีกว่านี้ได้ แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่เราได้ทำไป เราก็ได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้แล้ว
แม้ว่า Silence of the Dusk จะอยู่ในโรงภาพยนตร์เพียง 1 อาทิตย์ และไม่ได้ทำเงินอะไรมากนัก แต่สิ่งที่หน้าแปลกคือการได้รับคอมเม้นด้านบวกที่ตามมาถึงในช่องของผม และรวมไปถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ใหม่ๆ กับคนหลายๆ คน รวมไปถึง Jason ที่จะได้เข้ามามีบทบาทในผลงานของผมอีกมากมายในภายหลังและอนาคต และผมก็มองว่า นี่คืออีกหนึ่งโบนัสแถมที่ผมได้รับมาผ่านการเดินทางนี้ แม้ว่าเป้าหมายอันเล็กน้อยในตอนต้นจะเป็นอีกอย่าง แต่ด้วยโอกาสและความทุ่มเทของผมและทีมงานทุกๆ คน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถเป็นและไปได้ไกลกว่าที่มันได้เริ่มต้นไว้
Silence of the Dusk ภาพยนตร์อินดี้เรื่องนี้ อาจไม่ใช่อะไรที่ใหม่ในวงการภาพยนตร์ แต่มันคือก้าวแรกและก้าวสำคัญที่ใหญ่และใหม่สำหรับผมและอีกหลายๆ คนในทีมงาน แม้มันจะไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุด แต่มันคือผลงานที่เราตั้งใจกันมากที่สุด และไม่ว่าบั้นปลายของมันจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็คือบรรไดก้าวแรกที่ยังคงวางอยู่ตรงนั้น และย้ำเตือนผมเสมอถึงก้าวแรกที่สำคัญนี้ที่ทำให้ผมก้าวมาถึงปัจจุบันนี้ได้ และมันคือบทเรียนและประสบการณ์ที่น่าจดจำและสำคัญในการเรียนรู้ต่อๆ ไป
บทเรียนที่สำคัญมากและมากที่สุดสำหรับผมในก้าวนี้คือ “อย่ารีรอที่จะเริ่มต้นสร้างสรรค์บางอย่าง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่ามันอาจนำเราไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต” ทุกๆ การทำอะไรสักอย่างย่อมต้องมีการลงทุน ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก เราก็ควรจะฉลาดที่จะลงทุนและลงแรงไปกับมัน หากความฝันคือสิ่งที่มันหมุนอยู่ในหัวของเราเองได้ เราก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานของเราเองได้ โดยไม่ต้องไปรีรออะไรจากข้างนอก มีเท่าไหร่-เราก็ใส่ไปเท่านั้น พอดีตัว, พองาม อย่ามัวแต่นั่งรอโอกาสให้บินเข้ามาหาเรา โลกใบนี้เต็มไปด้วยการแข่งขันและคนที่เก่งกว่าเราก็มีเยอะ ดังนั้นอย่าให้เราเสียเวลากับการรอแบบลมๆ แล้งๆ แล้วต้องมานั่งเศร้า บ่นว่าทำไมไม่มีใครมาเห็นเราสักที ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเราเองที่ต้องก้าวออกไปให้คนได้เห็นถึงศักยภาพของเราที่เรามี สำหรับผมแล้วการเริ่มต้นที่เล็กน้อยนี้ที่ผมลงทุนไปนั้น มันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเข้ามาอีกมากมาย และจะเข้ามาอีกเรื่อยๆ เมื่อเราเริ่มต้นทำ และเมื่อมันประจวบกับ “โอกาส” สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ก็จะยิ่งทวีคูณได้มากขึ้นไปอีกอย่างเกินคาดหมายครับ
Comments