การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราทุกๆ คน ล้วนต่างต้องได้เผชิญหน้ากับผู้คนมากมาย การทำงานไม่ว่าจะอยู่ในสาขาไหน และไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ต่างต้องรับมือกับปัญหาในด้านบุคคลและสถานการณ์มากมาย ซึ่งเราแต่ละคนต่างมีวิธีการรับมือและแก้ไขปัญหาสิ่งเหล่านั้นที่แตกต่างกันไป และในทางเดียวกัน เราทุกๆ คนก็ต่างมีวิธีการแสดงออกและชื่นบานในสิ่งที่น่าชื่นชมในความสำเร็จหรือแม้แต่ในสถานการณ์ที่ดีๆ เล็กๆ เช่นกัน และบ่อยครั้งที่เราต่างต้องการคนที่อยู่ข้างๆ ที่เราต้องการให้เขานั้นได้รับรู้และเข้าใจเรา ไม่ว่าท่ามกลางช่วงเวลาความเศร้าโศก หรือความปีติยินดีก็ตาม เราต้องการที่จะเปิดโอกาสให้กับตัวเราเองในการสื่อสารและพึ่งพาคนเหล่านั้นที่คอยอยู่เคียงข้างเราได้รับรู้เช่นกัน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเข้าใจตัวเอง/รับรู้เสมอว่าผมเป็นคนที่ต้องการ "เพื่อน" และไม่ใช่เพื่อนทั่วๆ ไปให้มีแค่จำนวนเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนที่มีคุณภาพที่ดี น่าเคารพ น่าเชื่อถือ และน่าคบ ได้ ไม่ใช่เพราะความขี้เหงาหรือความที่ต้องการความเฮฮาอยู่ตลอดเวลาของผม แต่ผมมองว่าการมีเพื่อนที่ดีนั้น เปรียบเหมือนกำลังใจที่ช่วยหนุนใจของเราได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่ฉลาดหรือเก่งมากมาย เพียงแค่เป็นคนที่มีความจริงใจ สัตย์ซื่อ และเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่ดี ผมเชื่อว่านี่อาจเป็นคุณลักษณะของคำว่าเพื่อนที่ดีที่หลายๆ คนอาจมีอยู่ในใจก็ได้ (อาจจะแตกต่างไปบ้าง) เพราะเพื่อนเหล่านั้นเองที่สามารถช่วยเราหรือหนุนเราในบางระดับได้ และแม้แต่พ่อ-แม่ พี่-น้องของเราก็ต่างช่วยเราได้ในอีกระดับหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปเช่นกัน เพราะเราทุกๆ คนต่างต้องการผู้คนที่อยู่รอบตัวเพื่อตอบโจทย์ในแต่ละส่วนของชีวิต เพราะนั่นคือมิติของแต่ละด้านของความสัมพันธ์ในชีวิตของแต่ละคนรอบๆ ตัวเรา
หลายๆ คนน่าจะเข้าใจดีถึงช่วงวัยเรียนระดับประถมหรือมัธยม เป็นการยากที่เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่า "เพื่อน" มีอิทธิพลกับวิถีชีวิตและตัวตนของเรามาก อาจจะเป็นเพราะวัยและช่วงอายุนั้นๆ ที่เราต่างถูกออกแบบมาให้มี "เพื่อน" มาเป็น "เพื่อน" และไม่ว่าพวกเขาจะมีอิทธิพลกับชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขามีผลต่อชีวิตของเราในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะมีเพื่อนในแต่ละระดับที่แตกต่างกันไป คำว่า "เพื่อนสนิท" นั้นก็ย่อมเป็นสิ่งที่เราให้เกียรติกับคนนั้นๆ มากที่สุด และเขาต้องเป็นคนที่เรามั่นใจจริงๆ ว่าเขาสามารถคือคนคนนั้นได้
ในสายอาชีพของผมในฐานะผู้ผลิตสื่อวิดีโอ/ผู้เล่าเรื่องด้วยสื่อแล้ว ทำให้ผมต้องศึกษาและคอยอัพเดทความรู้และเพิ่มทักษะให้กับตัวเองอยู่เสมออย่างตลอดเวลา ไม่ว่าจะมาจากโลกอินเตอร์เน็ตหรือสื่อต่างๆ รอบตัว แต่สิ่งที่สามารถตอบสนองกับเราอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ "คน" และต้องเป็นคนที่มีความรู้ในด้านนั้นๆ ที่เรากำลังแสวงหาความรู้อยู่ และจะยิ่งดีขนาดไหนถ้าคนคนนั้นคือเพื่อนสนิทของเราเอง และนี่คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจของผมในเรื่องนี้เมื่อผมได้เจอกับ Jason R. Deford ผู้กำกับ/เขียนบท/ผู้กำกับภาพ/โปรดิวเซอร์ ชาวอเมริกัน ด้วยความไม่บังเอิญ* เรามีหลายๆ อย่างที่มองและเห็นเหมือนๆ กัน แม้ว่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ในนาม ผู้ถูกจ้าง-ผู้ว่าจ้าง กลับไปกลับมาทั้งสองทางก็ตาม แต่ด้วยระยะเวลาและผ่านการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทำให้เราได้ทำความรู้จักและสร้างมิตรภาพเพื่อนนี้ต่อๆ มาจนถึงทุกวันนี้ และยังคงจะพัฒนาต่อๆ ไป
Jason ระบุตัวเองว่าเป็นคนประเภท "Introvert" นั่นคือบุคลิกคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ด้วยความที่เขาอายุมากกว่าผมไป 10 ปี นั่นทำให้เขามีความ "ผ่านโลก" มามากกว่าผมไปโดยอัตโนมัต และด้วยประสบการณ์ในงานด้านนี้ที่มากและหลากหลาย ทำให้เขามีความรู้, ทักษะและความเข้าใจในงานด้านนี้มากกว่าผมในระดับหนึ่ง เจสันชอบการเล่าเรื่องที่เน้นที่ตัวละครและความลุ่มลึกของปรัชญา ซึ่งเห็นได้ชัดในผลงานเก่าๆ ของเขาเอง อย่างเช่นภาพยนตร์สั้นเรื่อง A Marvelous Coincidence ที่เล่าเรื่องราวของตัวละครที่จมอยู่กับความรู้สึกของการสูญเสียคนเป็นที่รัก และอีกหลายเรื่องราวมากมายที่เขาได้สื่อออกมาเป็นภาพยนตร์ที่เขาได้เขียนและกำกับเอง ทักษะการถ่ายภาพในตำแหน่ง cinematographer หรือ ผู้กำกับภาพ ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ที่สามารถเก็บและถ่ายทอดอารมณ์ของภาพ ด้วยการเคลื่อนของกล้องและการจัดแสง-สีที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยชีวิตและความหมาย และการกำกับภาพยนตร์ที่มีเอกลักษณ์ของเขาเองที่น่าสนใจและลึกในอารมณ์ ด้วยการเป็นมือ editor ตัดต่อเอง ทำให้เขาสามารถถ่ายทอดจังหวะและการเคลื่อนไหวของการเคลื่อนที่ของหนังของเขาเองได้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้จบการศึกษามาด้านนี้โดยตรง แต่ด้วยความเป็นศิลปินแห่งการเล่าเรื่องด้วยภาพเละเรื่องราวนี้ ทำให้เขาค่อยๆ เติบโตและเก็บสะสมประสบการณ์มาจนถึงทุกวันนี้ และยังคงพัฒนาและก้าวต่อไปในการทำงานด้านนี้ ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะสามารถทำงานและสื่อสารกับแผนกด้านอื่นๆ ในการทำภาพยนตร์ เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้กับงานได้
ในทางตรงกันข้ามกับผมในฐานะ Extrovert (กึ่ง Introvert นิดๆ) ที่แทบจะตรงกันข้ามกับเจสัน ซึ่งหากพูดแบบผิวเผินแล้ว ดูเหมือนว่าจะไปด้วยกันได้ยาก แต่จริงๆ แล้ว เราทั้งสองต่างเข้าขากันได้ดีมากๆ อย่างน่าประหลาดใจ เพราะในขณะที่่ผมคอยพูดพล่าม เจสันก็จะนิ่งฟังในสิ่งที่ผมกำลังพูด และในทางเดียวกันที่เมื่อเจสันพูด ผมก็จะคอยตั้งใจฟังเช่นกัน เพราะการเรียบเรียงกระบวนการคิดออกมาเป็นคำพูดของเจสัน ทำให้ผมต้องยิ่งตั้งใจฟัง เพราะมันคือคำแห่งการคัดกรองออกมาจากภายใน หลายครั้งเองที่ผมได้เรียนรู้และศึกษาหลายๆ อย่างจากเขา และเช่นเดียวกันที่เขาก็ได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผมได้แบ่งปัน ทำให้เราได้เรียนรู้จากกันและกันในหลายๆ ด้าน ด้วยประสบการณ์ที่เจสันมีมากกว่าผมในด้านมุมภาพและการเขียนบท ดังนั้นผมจึงต้องเปิดรับองค์ความรู้ในส่วนตรงนี้อย่างเต็มที่และทำตัวเป็นแก้วน้ำเปล่า ซึ่งมันช่วยสร้างและพัฒนาทักษะด้านใหม่ๆ ให้กับผมได้มากมายจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเขาจึงเปรียบเหมือน Mentor ที่ดีเยี่ยมเมื่อทุกๆ ครั้งที่ผมต้องการคำปรึกษาหรือคำแนะนำในด้านที่เขาเป็นเอก และนั่นก็คือวิธีที่ผมสามารถทำความเข้าใจและพัฒนาในสิ่งนั้นๆ ที่ผมกำลังทำอยู่ได้ นั่นคือการเข้าหาคนที่มีความรู้มากกว่าเราและเรียนรู้จากเขา จริงอยู่ที่เจสันไม่ใช่เทพแห่งสิ่งเหล่านั้น และความรู้ที่ยังคงต้องได้รับการเสริมเติมไปเรื่อยๆ แต่ทว่าในจุดที่เขายืนอยู่นั้นก็สูงและด้วยระยะเวลาประสบการณ์ที่มากกว่า ทำให้ผมสามารถเห็นถึงผลลัพท์ในผลงานที่ดีที่ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยในการที่เราจะยอมเปิดรับในการเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นจากเขา
และในขณะเดียวกันที่ทักษะทางด้านอื่นๆ ของผมก็ช่วยส่งเสริมและเป็นตัวเติมเต็มให้กับผลงานของเขาได้ ในด้านที่เขาไม่สามารถทำได้หรือไม่ถนัด และแม้แต่ว่าเขาจะไม่มีทักษะฝีมือในการทำสิ่งเหล่านั้นได้มากเท่ากับผม แต่เขาก็มีวิศัยทัศน์ที่แม่นยำและความเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจากทักษะของผม ซึ่งผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะเขาสามารถบอกถึงสิ่งที่เขาต้องการและชี้จุดในสิ่งที่แตกต่างกันได้อย่างน่าทึ่ง หลายครั้งเองที่เมื่อผมทำงานด้าน VFX ให้เขา ผมจะต้องมี option ให้เขาเลือกอยู่เสมอ แม้ว่าหลายๆ ทางเลือกนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีและสวยงามทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาจะมีวิธีการมองและเล็งในสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในแบบของเขาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาๆ เพราะนั่นจะทำให้ผลงานนั้นๆ จะมีการพัฒนาและรังสรรค์ออกมาให้ได้ดีที่สุดในตอนท้าย และนี่ทำให้เราต่างเรียนรู้การทำงานของกันและกันได้ง่ายและเร็วขึ้นผ่านทุกๆ ผลงานที่เราร่วมมือกัน และแม้ว่าจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันบ้าง (ซึ่งน้อยครั้งมากๆ) แต่เราก็พร้อมที่จะยอมปล่อยผ่านไป ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นหัวหน้างานในผลงานนั้นๆ หรือใครนำเสนอข้อโต้แย้งที่มีน้ำหนักมากที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้ว หาใช่เพราะเราเก่งในด้านนั้นๆ เองเท่านั้น แต่มันคือการทำงานเพื่อตอบโจทย์ของอีกฝั่งหนึ่งเช่นกัน ด้วยการหารือ และเสนอความคิดเห็น ด้วยการที่เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อผลงานนั้นๆ ทำให้เราพร้อมเสมอที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อมองถึงจุดสำเร็จที่รอเราอยู่
แม้ว่าที่ผมกล่าวทั้งหมดที่ผ่านมานี้จะเป็นเพียงแค่ 1 ในด้านที่เราแชร์และคอยหนุนกัน แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต่างเข้ากันได้ดีมาก และสนุกไปกับสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การสนทนาว่าด้วยเรื่องการวิจารณ์ภาพยนตร์, ปรัชญาของชีวิต, หลักความเชื่อของคริสเตียนตามทางของศาสนศาสตร์, จิตวิทยาที่นำมาใช้ในการเล่าเรื่องด้วยภาพยนตร์, วิธีการ/เทคนิค การทำหน้าที่ผู้ปกครองที่ดีและเหมาะสม ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นวัฒนธรรมไทยและของชาวตะวันตก ที่ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป เป็นต้น แต่มากไปกว่านั้นคือเราได้กลายเป็นเพื่อน และเพื่อนสนิท ที่คอยเสริมสร้างซึ่งกันและกันในหลายๆ ด้าน ที่มากกว่าแค่การทำงานและการพัฒนาทักษะเพื่อประกอบอาชีพเท่านั้น แต่มันคือมิตรภาพที่จะสานต่อๆ ไป และพร้อมที่จะหนุนจิตชูใจให้แก่กันและกัน และผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราหลายๆ คน และมันก็เป็นสิ่งที่ดีมากหากเราเริ่มความสัมพันธ์เหล่านั้นด้วยความจริงใจและเคารพซึ่งกันและกัน เพราะความสัมพันธ์นี้หาซื้อได้ด้วยเงินหรือแลกมาด้วยสิ่งของไม่ แต่มันคือระยะเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องทุ่มเทและเปิดความจริงใจต่อกันและกัน แม้ว่าจะไม่ได้ตกลงเห็นพ้องกันในทุกๆ เรื่อง แต่มันคือการเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างที่เราต่างเข้าใจกัน และสิ่งที่เราได้กลับมานั้น อาจเป็นมากกว่าแค่เพื่อนคนรู้จัก แต่เปรียบเสมือนพี่น้อง ที่เราอาจมีได้แค่ครั้งเดียวในชีวิตนี้เลยก็เป็นไปได้
Comments